ภาพแต่งละฉาก

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ ดวงตาดูสวยสดใส แบบวิธีธรรมชาติ

เคล็ดลับ ดวงตาดูสวยสดใส แบบวิธีธรรมชาติ
- ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกๆ 2 - 4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1 - 2 ปี
    - สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตา โดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 15นาที   ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดจ้าน- ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับควันและฝุ่นละอองต่างๆโดยตรง
 
  าหารเสริม เพื่อดวงตาสดใส

 - รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสูง เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆดีกว่า

    - รับประทานผัก
ที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระพร้อมทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
   - รับประทานสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ

                                        เคล็ดลับ การนวดกดจุด เพื่อผ่อนคลายบริเวณรอบดวงตา    1. ใช้ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกทางด้านข้าง 3 ครั้ง
    2. ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้าง หมุนวนรอบดวงตาพร้อมๆกัน ในลักษณะวนตามเข็มนาฬิกา และแต่ละครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 60 รอบ
    3. ใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วไปถึงขมับ 3 รอบ
    4. กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาไปถึงหางตา 3 รอบ
    5. ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ
    6. ทำซ้ำข้อ 2 - 5 ทั้งหมด 3 รอบ
    7. นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา โดยลากน้ำหนักลงที่ปลายนิ้ว ออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อยๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้า


เคล็ดลับการนั้นสมาธิฝึกปัญญา

^^ เคล็ดลับการทำสมาธิ ^^

ต้นเหตุสำคัญ ที่จะทำให้สมาธิเกิดเร็วหรือช้าและเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะตั้งมั่นอยู่ได้นานหรือไม่นานนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ

1. ทำนาน คือ ในแต่ละครั้งที่ทำสมาธิ ควรทำให้นาน ๆ อย่างน้อยต้องครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง ทำ 3 ครั้งต่อวัน

2. ทำบ่อย คือ ในแต่ละครั้งที่ทำสมาธิ ไม่ต้องทำมาก ทำครั้งละสิบหรือสิบห้านาทีก็พอ แต่ทำให้บ่อย ๆ ตามแต่จะสะดวก

3. ทำติดต่อ คือ ในแต่ละวัน อย่าให้จิตขาดสมาธิมากนัก ควรเอาสมาธิมาใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดความเคยชิน การทำสมาธิก็จะเป็นของง่าย

ถ้าในชีวิตประจำวัน เราปล่อยให้จิตขาดสมาธิมาก เมื่อถึงเวลาทำสมาธิจริง กว่าจะรวมจิตให้เกิดสมาธิก็ต้องเสียเวลามาก การทำสมาธิจึงได้ปริมาณแต่ขาดคุณภาพ

ดังนั้น เคล็ดลับในการทำสมาธิ หรือปฏิบัติกิจทุกสิ่ง ถ้าทำให้นาน ทำให้บ่อย และทำให้ติดต่อ ก็ย่อมจะเกิดผลและทักษะ สิ่งที่เคยเห็นว่ายาก ก็จะกลายเป็นง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ.ล

สมาธิ จัดว่าเป็น “ยอดบุญ” ที่ชาวพุทธไม่ควรมองข้าม เพราะสมาธิต่ำกว่าปัญญาเพียงขั้นเดียว ถ้านับเรียงว่าศีล สมาธิ และปัญญา แต่ถ้านับแบบชาวบ้าน คือทาน ศีล และภาวนา สมาธิก็รวมอยู่ในข้อภาวนา คือไปรวมอยู่กับปัญญาเสียเลย

แม้ว่าสมาธิจะต่ำกว่าปัญญาก็ตาม แต่สมาธิก็จัดว่าเป็น “พื้นฐานของปัญญา” นั่นคือ ไม่มีสมาธิ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ และในทำนองเดียวกัน สมาธิที่ขาดปัญญาก็ไม่สามารถจะดับทุกข์ได้ ดังนั้น ทั้งสมาธิและปัญญาจึงต่างก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จึงจะสำเร็จประโยชน์ที่สมบูรณ์ และถึงที่สุด (ดับทุกข์ได้)

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ที่มีโอกาสฝึกสมาธิแล้วก็ไม่ควรจะ “ย่ำเท้า” อยู่กับที่ ควรจะก้าวหน้าต่อไปคือการเจริญวิปัสสนาตามวาสนาและบารมีของตน เพราะการฝึกแต่สมาธิล้วน ๆ นั้น ทำให้จิตใจสงบ และประสบความสุขก็จริงอยู่ แต่ยังเป็นความสุขแบบ “หินทับหญ้า” กล่าวคือ

ตราบใดที่ใจของเรายังมีสมาธิอยู่ ตราบนั้นความทุกข์ก็เล่นงานไม่ได้ แต่ถ้าจิตของเราขาดสมาธิเมื่อไรความทุกข์ก็เล่นงานได้ทันทีเมื่อนั้น

สมาธิ ท่านจึงเปรียบเหมือนหินทับหญ้า ตราบใดที่หินยังทับหญ้าอยู่ หญ้าก็งอกขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อยกหินออกเมื่อใด หญ้าก็จะขึ้นเต็มเมื่อนั้น

เพราะโดยปกติคนเรา ไม่อาจจะมีสมาธิมั่นคงอยู่ได้ตลอดเวลา เพียงสมาธิสามัญที่เกิดเอง ไม่สามารถที่จะต้านทานความทุกข์ได้ จะต้องอาศัยสมาธิก้าวขั้นไปสู่การเจริญวิปัสสนา จึงจะสามารถพิชิตความทุกข์ได้สิ้นเชิง

ดังนั้น ความสุขที่เกิดจากสมาธินั้น จึงยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง มันเป็นเพียงความสุขแบบหินทับหญ้าเท่านั้น ผู้หวังความสุขอันเกษมหรือถาวร จึงไม่ควรประมาท

ดังที่กล่าวแล้วว่า สมาธิเป็นยอดบุญหนึ่งในสาม (คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) ก่อนที่จะเลิกการทำสมาธิทุกครั้ง ควรแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญ ที่เกิดจากการทำสมาธินี้ ไปให้พ่อ แม่ ครู อาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรม นายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยทั่วไป

ในการอุทิศส่วนบุญนี้ จะทำพร้อมกับการไหว้พระสวดมนต์ก็ได้ ทำเช้าหนเย็นหนก็พอ ส่วนว่าเมื่อทำสมาธิในที่ทำงาน หรือในชีวิตประจำวัน ในรถ ในเรือก็ไม่จำเป็นต้องอุทิศ เอาไว้อุทิศรวมๆ พร้อมกันก่อนนอนก็ได้.


สมาธิ ทำยากจริงหรือ ?

ขอตอบปัญหานี้ก่อนว่า ไม่จริงเลย ทำสมาธิเมื่อไร? ใจก็ย่อมเกิดสมาธิเมื่อนั้น! ต่างกันแต่ว่า สมาธิเกิดอยู่ได้นานหรือไม่นานเท่านั้น เพราะธรรมชาติของจิต โดยปกติทั่วไป ย่อมมีสมาธิเป็นพื้นฐาน มากบ้างน้อยบ้างอยู่แล้ว

เมื่อเราเริ่มลงมือทำสมาธิในขณะใด สมาธิก็ย่อมเกิดขึ้นทันทีในขณะนั้นเอง แต่เพราะเราใจร้อน และมีค่านิยมผิดๆ จึงมักจะไม่สนใจการทำสมาธิ โดยอ้างว่ามีการงานมาก มีเรื่องยุ่งมาก ใจไม่สงบ ทำสมาธิกับเขาไม่ได้หรอก …เป็นต้น

ใจร้อน คือ พอทำสมาธิปุ๊บ ก็จะให้ใจมันหยุดนิ่งปุ๊บทันทีเหมือนวางก้อนหิน เมื่อเล็งผลเลิศอย่างนี้ ก็เลยไม่อยากทำสมาธิ เพราะทำทีไรไม่เห็นสงบสักที นอนสบายกว่า !

ค่านิยมผิดๆ คือ มีความคิดว่าการทำสมาธิต้องไปทำที่วัด ต้องให้พระคุมทำ พระให้กรรมฐาน ต้องทำคนเดียว ทำในที่สงบ ต้องนั่งทำเป็นชั่วโมง ๆ จนถึงการทำสมาธิทำให้บ้าๆ บ๊องๆ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ เป็นแต่เพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เราไม่ชอบ ไม่มีโอกาส ไม่สะดวก ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเสมอไป วิธีการต่างๆ ได้แนะนำไว้พร้อมแล้วในหนังสือเล่มนี้ เมื่อท่านอ่านจนจบเล่มแล้ว ความสงสัยปัญหาต่างๆ ดังกล่าว จะหมดสิ้นไป

ก่อนอื่น เราควรจะทราบธรรมชาติของจิตก่อนว่าจิตมีสภาพอย่างไร? ทำไมจิตของเราจึงคิดนึกอะไรวุ่นวาย ไม่มีความสงบเลย? คนอื่นทำมเขาไม่วุ่นวายเหมือนเรา? ทำไม่?? ทำไม ???

จิต มีธรรมชาติ รับ จำ คิด และ รู้ ในอารมณ์และเรื่องราวต่างๆ ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี นี่คือธรรมชาติของจิตแท้ๆ ไม่ได้เป็นจิตที่ผิดปกติแต่อย่างใด ตรงข้ามคนที่ไม่คิดเสียอีก อาจจะผิดปกติ คนที่ไม่คิดเลยก็มีอยู่พวกเดียว คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น !

การที่เราทำสมาธินั้น มิได้หมายความว่าจะบังคับมิให้จิตมันไม่นึกไม่คิด ก็หามิได้ แต่การทำสมาธินั้นเราเพียงแต่ตั้งใจประคับประคอง ให้จิตมันนึกคิดอยู่ในสิ่งเดียว ที่เราต้องการเท่านั้น แต่ที่มันอยู่กับสิ่งนั้นๆ ไม่นาน ก็เพราะมันไม่เคยชิน ถ้าทำบ่อยๆ ทำให้นานๆ หน่อย มันจะเคยชินไปเอง และมันก็จะชอบเสียด้วย

ถ้าเราเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง เลี้ยงมาจนโตแต่ไม่เคยล่ามโซ่เลย วันแรกที่เราล่ามโซ่ มันจะดึงและร้องลั่นจนเราทนแทบไม่ไหว หูจะแตก แต่ถ้าเราทนหนาวหูไปสัก 2-3 วัน มันก็จะหมดฤทธิ์กไม่ดึงไม่ร้อง จะนอนหมอบอยู่กับหลักนั่งเอง ฉันใด จิตใจของคนเราที่ไม่เคยฝึกหัดอบรมมาก่อน ก็มีอุปมา ฉันนั้น

ตอนทำสมาธิแรก ๆ ต้องใช้ความพยายาม ต้องทนต้องฝืนไปไม่นานนัก มันก็จะหยุดดิ้น เพราะขืนดิ้นต่อไป ก็รังแต่จะเจ็บตัวเสียเปล่า เลยนอนอยู่กับหลัก (อารมณ์ของสมาธิ) แสนจะอุตุกว่า

ความหลงผิดอีกประการหนึ่งที่ว่า ทำสมาธิแล้วจะเป็นคนเฉื่อยชา อืดอาด หากินไม่ทันเขา ข้อนี้ก็ไม่จริง เป็นเพราะสันดานของแต่ละคน ถ้าคนมันจะอืดอาดแล้ว ไม่ทำสมาธิ มันก็ต้องอืดอาดอยู่เอง

ที่ว่ามีการงานมาก ไม่มีเวลาทำสมาธินั้น ก็เป็นความเข้าใจผิด คิดว่าการทำสมาธิจะต้องนั่งหลับตาเสมอไป และเอามาใช้กับงาน ใช้กับชีวิตประจำวันไม่ได้ ข้อนี้ไม่ขออธิบาย เพราะเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ก็ย่อมจะถึงบางอ้อเอง

เพียงแต่จะขอสรุปตอนท้ายว่า
คนที่มีจิตใจวุ่นวาย ไม่สงบ มีการงานมาก มีภาระรับผิดชอบมาก นั่นแหละยิ่งจำเป็นที่จะต้องทำสมาธิให้มากๆ และต้องทำให้มากกว่าคนธรรมดา หรือแม้พระสงฆ์เสียด้วยซ้ำไป มิฉะนั้นมันจะเป็นโรคประสาท เสียการงาน เสียอนาคต และเสียคนไปชั่วชีวิต หรืออาจจะต้องสิ้นชีวิต โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องสิ้น

เคล็ดลับกินขนมหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน

ของหวานและขนมต่าง ๆ กินอย่างไรไม่ให้อ้วนผู้หญิงแทบทุกคนชอบทานของหวานและขนมต่าง ๆ เป็นชีวิตจิตใจ แต่จะกินของหวานอย่างไร ถึงจะรักษารูปร่างได้เพรียวสวย คุณควรมีวิธีในการเลือกกินของหวาน เพื่อที่การทานของคุณจะได้ไม่ต้องทรงผมถึงสุขภาพและรูปร่างของคุณ

รู้ปริมาณแคลอรี

ในกรณีที่กินของขบเคียวและขนมหวานต่าง ๆ ควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกิน หรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

ลดแคลอรี

ตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

ควบคุมสัดส่วนการกิน

กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

ดื่มชาเขียว หรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม

กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติหวานให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน 5 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่

เดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที

การเดินเล่น วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย

30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง

ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกาย ควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผาผลาญควบคู่ไปด้วย

งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น

มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน

10 เคล็ดลับ "สุขภาพดี"

10 เคล็ดลับ "สุขภาพดี"สมัยปัจจุบันนี้ใคร ๆ ก็หันมาให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดีกันมาขึ้น เพราะในปัจจุบันมีเชื้อโรคมากมายที่เราไม่อาจจะมอง อีกทั้งมลภาวะก็ไม่ค่อยจะดีนักทุกคนจึงหันมาหาอะไรที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงและไม่เจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่าย เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองทีละมากที่จะเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ

ล่าสุดนิตยสาร H to H Magazine ได้รายงาน 10 เคล็ดลับ "สุขภาพดี" โดยสนับสนุนข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล เราจึงนำมาบอกต่อเพื่อให้คุณ ๆ ได้ลองพิจารณาเพราะไม่ใช่เรื่องยากเลย
 สุขภาพดี ได้แก่

1.แอปเปิ้ลวันละผล
คำพูดที่ว่า an apple a day, keeps doctor away เป็นจริงเสมอ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอนพบว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผลจะทำให้การทำงานของปอดดีขึ้น จากแอนติออกซิเดนต์และสารในแอปเปิ้ลที่เรียกว่า quercetin ซึ่งช่วยทำให้ปอดแข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นระบบ

2.หายใจลึก ๆ


เราควรหายใจให้ลึกเพื่อขยายการทำงานของปอดและทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ แต่ทุกวันนี้เรามักหายใจสั้น ๆ เนื่องจากการทำงานในที่อับทึบหรือเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นในแต่ละวันลองหายใจลึก ๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง และต้องเป็นแบบหายใจเข้าท้องป่องหายใจออกท้องแฟบด้วยจึงจะเรียกว่าถูกวิธี

3.หลีกเลี่ยงการนำผักเข้าไมโครเวฟ


จากการวิจัยของสเปนพบว่า การทำผักให้สุกในไมโครเวฟจะทำให้สารอาหารหายไปได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เราควรจะเลือกคือ การรับประทานผักสด ๆ หลีกเลี่ยงผักแบบไมโครเวฟแม้อาหารกล่องอาจให้รสอร่อยแต่จงรู้ไว้ว่าสารอาหารนั้นไม่มีเหลือแล้ว

4.ขยับตัวเสมอสังเกตไหม
คนที่ขยับตัวอยู่เสมอจะมีระบบย่อยอาหารที่ดีกว่าคนที่เอาแต่นั่ง วิธีนี้ช่วยป้องกันอาการท้องผูกรวมไปถึงโรคกระดูกพรุนด้วย

5.ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดอะมิโนและวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกาย เป็นต้น


สุขภาพดี ยกดัมเบล


6.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง

ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูงเมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลต่อการเกิดอาการชักได้

7.กินส้มช่วยแก้อาการเบื่อหน่ายได้
การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดได้ดีออกมาด้วย

8.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม


อาหารมื้อเช้าช่วยต่อต้านการแข็งตัวของเลือด เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติจึงมีโอกาสที่หลอดเลือดจะอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลงสมองจึงค่อย ๆ เสื่อม

9.ดาร์กช็อกโกแลตต่อต้านอนุมูลอิสระ


รู้ไหมว่า ช็อกโกแลตชนิดอื่น ๆ แทบไม่มีส่วนผสมของโกโก้เลยมีเพียงดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นที่เป็นช็อกโกแลตแท้ ๆ และยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีสารเฟลวานอยด์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนระบบหลอดเลือด โดยปริมาณที่เหมาะสมคือในแต่ละวันให้รับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์

10.สมการความสุข y=b+c

y คือ ความสุข b คือ ความรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุข อาทิ มีความเข้าใจชีวิตว่าเป็นอย่างไร รู้จักองค์ประกอบของชีวิต เป็นต้น c คือ ความอยากในชีวิต หากมีความอยากมากกว่าความรู้ที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขคนคนนั้นก็มีความสุขที่ติดลบ

18 เคล็ดลับสุขภาพดี



สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

   1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

   2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

   3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

   4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

   5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

   6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

   7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

   8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

   9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

   10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

   11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

   12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

   13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

   14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

   15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

   16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

   17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

   18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

เพลง อยู่บำรุง

เคล็ดลับการทำข้อสอบให้ฉลุย

   เทคนิคการทำข้อสอบให้ฉลุย
คะแนน 15 – 20 เปอร์เซ็นต์ ที่ผู้เรียนทำได้เกิดจากสิ่งที่เราเรียนรู้ ส่วนคะแนนที่เหลือ มักมาจากความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในการทำข้อสอบ
    ผลจากการทดลองมากมายพบว่า การเรียนรู้ถึงกลไกของข้อสอบและวิธีทำข้อสอบ สามารถเปลี่ยนคะแนนของผู้สอบจาก C มาเป็น A ได้เลยทีเดียว

1.
วิธีรับมือกับข้อสอบแต่ละประเภท
2.
ข้อควรปฏิบัติในการสอบ


1.
วิธีรับมือกับข้อสอบแต่ละประเภท

ถ้าเราได้เข้าเรียน จดโน้ต ทำการบ้าน อ่านหนังสือทบทวนอย่างสม่ำเสมอแล้ว เราก็สามารถเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง ว่าเรามีความรู้ มีข้อมูลที่จะนำไปใช้ในการทำข้อสอบ แต่มันก็ยังมีอุปสรรคอื่นๆ ที่ทำให้การทำข้อสอบของเราเป็นไปด้วยความยากลำบาก เช่น เวลาที่จำกัด ความซับซ้อนของภาษาที่ผู้ออกข้อสอบใช้เขียนข้อสอบ รวมไปกลลวงอื่นๆ ที่ผู้ออกข้อสอบพยายามทำให้เราไขว้เขว ซึ่งข้อสอบแต่ละประเภทก็มีอุปสรรคไปคนละแบบ ที่เราจะต้องรับมือกับมันให้ถูกวิธี

1.1
ข้อสอบปรนัย
1.2
ข้อสอบถูก ผิด (T – F)
1.3
ข้อสอบอัตนัย

1.1
ข้อสอบปรนัย

คือ ข้อสอบที่มีคำตอบให้เลือก 4 – 5 คำตอบ ซึ่งเราสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้ช่วย ในกรณีที่ไม่รู้คำตอบที่ถูกต้องได้

1)
กำจัดคำตอบที่ผิดอย่างเห็นได้ชัดออกไปก่อน ให้เหลือตัวเลือกน้อยลง เพื่อที่คำตอบของเราจะมีคำตอบที่ถูกมากขึ้น เช่น ถ้าเหลือตัวเลือก 2 ตัว โอกาสตอบถูกก็คือ 50 – 50

2)
คำตอบที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน มักจะไม่ใช่คำตอบที่ถูก เช่น ถ้าโจทย์ถามว่า กฎทั่วไปในการจำคืออะไร ตัวเลือก ก. ท่องจำครั้งละ 1/2 – 1 ชั่วโมง ค. อ่านข้อมูลนั้นซ้ำๆ นี่แสดงว่าทั้งข้อ ก. และ ค. ไม่น่าใช่คำตอบที่ถูก ทำให้เราสามารถตัดตัวเลือกดังกล่าวทิ้งไปได้

3)
คำตอบที่กินความกว้างมักมีโอกาสถูกมากกว่าคำตอบที่เฉพาะเจาะจง ยกตัวอย่าง ธุรกิจถูกมองว่าเป็นเกมการแข่งขันเพราะอะไร?ก. มีกำหนดเวลา
ข. มีคนมากมายเข้ามามีส่วนร่วม
ค. มีผู้นำ
ง. มีกฎต่างๆ ที่ไม่แน่นอน แล้วแต่ผู้กำหนด
คำตอบ ง. คือคำตอบที่ควรเลือก เพราะครอบคลุมคำตอบอื่นได้
4) คำตอบที่ตรงข้ามกัน ขัดแย้งกัน ไม่คำตอบใดก็คำตอบหนึ่ง น่าจะเป็นตัวเลือกที่ถูก ยกตัวอย่าง
เวลาอ่านหนังสือทบทวนความรู้ก่อนสอบที่ดีที่สุด คือช่วงไหน?ก. ก่อนเข้านอน
ข. ระหว่างพักกลางวัน
ค. ช่วงสุดสัปดาห์
ง. หลังตื่นนอน
ตัวเลือก ก. และ ง. ตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด และคำตอบที่ถูกคือ ข้อ ก.

5)
ข้อมูลจากคำถามข้ออื่นๆ สามารถเป็นแนวทาง หรือช่วยให้คำตอบแก่เราได้ ลองเว้นคำถามข้ามข้อที่คิดไม่ออกนี้ไปก่อน แล้วทำข้ออื่นๆ ต่อ ถ้ามันยังช่วยไม่ได้ให้ใช้วิธีในข้อต่อไป

6)
เลือกคำตอบที่ยาวที่สุดหรือสั้นที่สุด โดยพิจารณาจากลักษณะคำตอบที่ถูกในข้ออื่นๆ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ผู้ออกข้อสอบแต่ละคนมักมีสไตล์ของตนเอง คือ อาจชอบให้ตัวเลือกที่ยาวที่สุดเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด หรือไม่ก็ชอบให้คำตอบที่กะทัดรัดอธิบายแต่น้อยเป็นคำตอบที่ถูก
ข้อควรระวังอย่างหนึ่งในการทำข้อสอบปรนัยคือ การไม่พิจารณาคำตอบที่เหลืออย่างถี่ถ้วน หลังจากที่คิดว่าเจอคำตอบที่เหมาะสมแล้ว ทำให้พลาดคำตอบที่ถูกต้องที่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
1.2
ข้อสอบถูก ผิด (T – F) มีวิธีรับมือดังนี้

1)
ระวังถูกลวงด้วยภาษา เพราะคำบางคำสามารถโน้มน้าวเราให้ตอบว่าข้อความนั้นถูกได้ ทั้งๆ ที่มันผิด คำที่ว่านี้ได้แก่ ถ้า... จำเป็นที่.... ไม่จำเป็นที่.....

2)
สังเกตคำบอกใบ้ว่าข้อความนั้นผิด คือถ้าข้อความนั้นมีคำว่า เสมอ ตลอด ไม่เลย ไม่เคย เป็นไปไม่ได้หรือคำในลักษณะคล้ายๆ กัน ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่มันจะผิด ดังนั้นถ้าเราไม่แน่ใจว่ามันถูกหรือผิด ก็ให้ตอบไปว่าผิด

3)
ข้อความที่มีคำแสดงถึงความลังเล ไม่แน่ชัด เช่นคำว่า บางที ไม่ค่อยจะ กล่าวโดยทั่วๆ ไปแล้ว หรือ โดยปกติแล้ว มักเป็นข้อความที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดให้เป็นคำตอบที่ถูก ตรงข้ามกับกลุ่มคำในข้อ 2) ที่แสดงความชัดเจนเต็มที่ แต่มักจะเป็นคำตอบที่ผิด

4)
ระวังคำถามซ้อน คือให้ข้อเท็จจริงหนึ่งข้อ แล้วผู้ออกข้อสอบก็บอกว่าข้อความนั้นผิดหรือถูก ซึ่งในที่นี้เราจะต้องพิจารณาแยกทีละส่วน โดยดูก่อนว่าข้อเท็จจริงนั้นถูกหรือผิด แล้วข้อสรุปเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร จากนั้นก็ใช้หลักตรรกะง่ายๆ หาคำตอบที่เราจะเติมลงไป ดังนี้
ถ้าข้อเท็จจริง ถูก แล้วผู้ออกข้อสอบสรุปว่า ถูก คำตอบคือ ถูก
ถ้าข้อเท็จจริง ถูก แล้วผู้ออกข้อสอบสรุปว่า ผิด คำตอบคือ ผิด
ถ้าข้อเท็จจริง ผิด แล้วผู้ออกข้อสอบสรุปว่า ถูก คำตอบคือ ผิด
ถ้าข้อเท็จจริง ผิด แล้วผู้ออกข้อสอบสรุปว่า ผิด คำตอบคือ ถูก

5)
ข้อความปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ ที่ทำให้เราสับสนและปวดหัวได้ง่าย อย่างเช่นไม่จำเป็นเสมอไป ที่จะไม่ให้รางวัลเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการถ้าเจอข้อความประเภทนี้ให้เก็บไว้ทำทีหลัง อย่าทุ่มเทเวลาและความคิดให้กับมัน จนทำให้เวลาสำหรับการทำข้ออื่นๆ ที่เราน่าจะทำได้อย่างมั่นใจกว่าหมดไป จากนั้นเมื่อกลับมาทำใหม่ ให้ลองเขียนข้อความนั้นด้วยภาษาที่ง่าย แยกแยะประเด็นต่างๆ ให้ชัดเจน แล้วถ้าเราพบว่าส่วนใด

ส่วนหนึ่งของข้อความไม่ถูกต้อง ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ข้อความนั้นจะผิด

1.3
ข้อสอบอัตนัย

ข้อสอบแบบนี้ ผู้เรียนจะต้องคิดหาคำตอบเองทั้งหมด ไม่มีโอกาสเดาสุ่มคำตอบโดยใช้เทคนิคต่างๆ เข้าช่วย แต่กระนั้นคนที่มีความรู้ ความจำพอๆ กันสองคน ก็อาจได้คะแนนต่างกันจากการทำข้อสอบอัตนัยชุดเดียวกัน ทั้งนี้เพราะอีกคนหนึ่งมีวิธีทำข้อสอบที่ดีกว่า จึงได้คะแนนสูงกว่า ซึ่งวิธีที่ว่าก็คือ

1.3.1
เขียนสิ่งที่เราจำได้ลงไป ก่อนอื่นให้เขียนสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจในแบบจดโน้ตสั้นๆ หรือรหัสย่อต่างๆ ที่ทำไว้ เช่น M’PLESS หมายถึงทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของ Maslow ที่ประกอบด้วย
- Physic Logical Need
- Love and Belongness Need
- Esteem Need
- Safety and Security Need
- Self – Actualization Need
เป็นต้น การเขียนสิ่งที่เราจำได้ลงไปก่อน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คำถามในข้อสอบทำให้เราสับสน และลดความกลัวว่าเราจะลืมโน่นลืมนี่หลังจากลงมือเขียนข้อสอบแล้ว

1.3.2
แบ่งเวลาทำข้อสอบ โดยอ่านข้อสอบให้หมด แล้วพิจารณาว่า
-
มีเวลาในการทำข้อสอบนานเท่าไร
-
มีคำถามกี่ข้อ
-
คำถามข้อไหนยาก / ข้อไหนง่าย
-
คำถามแต่ละข้อมีคะแนนเท่าไร ถ้าผู้ออกข้อสอบไม่เขียนบอกไว้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกข้อมีคะแนนเท่ากัน
เมื่อทราบคำตอบข้างต้นแล้วให้แบ่งเวลาสำหรับทำข้อสอบแต่ละข้ออย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น ข้อสอบชุดหนึ่งให้เวลาทำ 3 ชั่วโมง คำถาม 4 ข้อ มีคะแนนดังนี้ ข้อแรก 10 คะแนน ข้อสอง 20 คะแนน ข้อสาม 20 คะแนน ข้อสุดท้าย 50 คะแนน รวมทั้งหมด 100 คะแนน เราจะแบ่งเวลาออกเป็น

-
เวลาสำหรับอ่านข้อสอบและทบทวนคำตอบตอนท้าย 30 นาที (เหลือ 150 นาที)
-
เวลาสำหรับตอบคำถามข้อ 1 (10% ของ 150 นาที) 15 นาที
-
เวลาสำหรับตอบคำถามข้อ 2 (20% ของ 150 นาที) 30 นาที
-
เวลาสำหรับตอบคำถามข้อ 3 (20% ของ 150 นาที) 30 นาที
-
เวลาสำหรับตอบคำถามข้อ 4 (50% ของ 150 นาที) 75 นาที
แต่ถ้าทุกข้อคะแนนเท่ากัน ให้แบ่งเวลาเท่าๆ กัน และจงอย่าใช้เวลามากไปกว่าที่กำหนดนี้ในแต่ละข้อ เช่น ถ้า 30 นาทีแล้วยังทำข้อ 2 ไม่เสร็จ ให้เว้นบรรทัดทิ้งไว้ แล้วไปทำข้ออื่น การใช้เวลาเกินในข้อหนึ่งข้อใด จะลดเวลาสำหรับข้ออื่นๆ และส่งผลกระทบต่อคะแนนโดยตรง คือแทนที่จะได้ตอบครบถ้วน ได้คะแนนเต็มจากข้ออื่น เราก็จะตอบได้น้อยลง คะแนนน้อยลง โดยเฉพาะในข้อสุดท้าย นอกจากนี้การที่เราทำไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนด อาจหมายความว่ามันยากกว่าที่คิด ดังนั้นจึงไม่ควรเอาเวลาของข้ออื่นที่ง่ายกว่าไปทุ่มเทให้กับมัน

1.3.3
ทำข้อที่ง่ายและคะแนนมากก่อน จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าข้อ 1 (10 คะแนน) กับ

ข้อ 3 (20 คะแนน) ง่ายสำหรับเรา ให้ทำข้อ 3 ก่อน โดยตอบให้ชัดเจน ตรงคำถาม ภายในเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อให้มีเวลาเหลือสำหรับข้อที่เราคิดว่ายาก
สิ่งสำคัญในการทำข้อสอบอัตนัยอย่างหนึ่งคือ เราต้องอ่านคำถามให้รู้แน่ว่าอะไรคือคำตอบที่ผู้ออกข้อสอบต้องการ ถึงแม้จะต้องอ่านคำถามนั้นหลายรอบก็ตาม เพราะความเข้าใจในคำถามผิดจะเป็นผลเสียอย่างมาก ซึ่งคำถามที่เรามักจะพบเห็นในข้อสอบอัตนัยก็ได้แก่

-
ให้เปรียบเทียบ ว่าของแต่ละอย่างมีอะไรที่เหมือนกัน และมีอะไรที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่นทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคกับแบบลงมือกระทำแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไรการเขียนคำตอบที่ดีควรแยกบรรยายความเหมือนไว้ส่วนหนึ่ง และความต่างไว้อีกส่วนหนึ่งอย่างชัดเจน อย่าเขียนกระโดดไปกระโดดมา เดี๋ยวเหมือนเดี๋ยวต่าง เพราะนอกจากเราจะงงเองแล้ว ผู้ตรวจก็จะงงตามไปด้วยอย่างแน่นอน
คำถามลักษณะนี้ต้องการข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เรียน

-
ให้อธิบายความหมาย บอกว่ามันคืออะไร เราต้องให้คำอธิบายอย่างเพียงพอที่จะบ่งบอกถึงคำนั้นอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่นความคิดแทรกคืออะไรถ้าเราตอบแต่เพียงว่า คือ ความคิดที่เกิดขึ้นในสมองเมื่อเราอ่านงานเขียนใดๆ โดยที่มันไม่ได้ปรากฏอยู่ในงานเขียนที่เราอ่านคำตอบนี้ไม่ชัดเจนแน่นอน เพราะมันสามารถอธิบายถึงความคิดเสริมได้ ซึ่งคำตอบที่ดีควรเป็น ความคิดแทรกคือความคิดที่เกิดขึ้นในสมอง ซึ่งไม่มีอยู่ในงานเขียน ในระหว่างที่เราวิเคราะห์และวินิจฉัยสาระของหนังสือที่อ่าน

-
ให้บรรยายเรื่อง ตัวอย่างเช่น สาเหตุสำคัญ 5 ประการที่ทำให้วัฒนธรรมของมนุษย์แตกต่างกันมีอะไรบ้าง จงบรรยายมาคำตอบที่เราให้ควรประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสาเหตุแต่ละข้อ และอธิบายว่าทำไม่ / อย่างไรมันถึงทำให้วัฒนธรรมของมนุษย์แตกต่างกัน
ภาษาที่เราใช้เขียนบรรยายควรให้เรียบง่าย ตรงไปตรงมาชนิดที่คนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เมื่ออ่านจบแล้วก็ยังเข้าใจได้โดยง่าย

-
ให้วิจารณ์ เมื่อเจอคำถามลักษณะนี้ เราต้องเอาทัศนะมาตรฐานของคนทั่วไปเป็นหลัก ตัวอย่างเช่นอินเตอร์เน็ทมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรยกเว้นในกรณีที่ผู้ออกข้อสอบระบุชัดเจนว่าต้องการความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เรียน เช่น ในความคิดเห็นของนักศึกษา อินเตอร์เน็ทมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรแบบนี้เราถึงแสดงความคิดเห็นของเราได้

-
ให้ลำดับความ ตัวอย่างเช่นจงเล่าถึงความเป็นมาของสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสังเขปเราต้องตอบคำถามประเภทนี้โดยเรียงลำดับของเหตุการณ์ โดยให้เขียนเหตุการณ์ต่างๆ แบบคร่าวๆ ลงบนด้านหลังกระดาษคำตอบก่อน จากนั้นจึงนำเหตุการณ์มาเขียนขยายความตามลำดับ
นอกจากความเป็นมาแล้ว การให้อธิบายขั้นตอนการทำงานของกระบวนการต่างๆ ก็จัดอยู่ในคำถามประเภทนี้เหมือนกัน

-
ให้ยกตัวอย่าง เช่นจงยกตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าสื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนไทยการตอบคำถามเช่นนี้เราจะต้องอาศัยประสบการณ์ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะต้องยกตัวอย่างประกอบ
ถ้าเราอ่านคำถามแล้วรู้สึกว่ามันยากเหมือนกันหมด ทำไม่ได้เลยสักข้อ ให้เริ่มต้นที่คำถามที่เราคิดว่าสามารถเขียนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคำตอบได้ เช่นทำไมเราจึงไม่สามารถแยกการใช้ภาษากับการคิดออกจากกันได้เราอาจเริ่มโดยเขียนอธิบาย

ความหมายของการคิดและการใช้ภาษาก่อน แล้วเราจะพบว่าความจำต่างๆ ที่วิ่งหนีหายไปด้วยความตื่นกลัวข้อสอบนั้น จะค่อยๆ ทยอยกลับมา หลังจากได้ลงมือเขียนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคำตอบลงไป

1.3.4
เพิ่มคะแนนด้วยกลยุทธ์ต่างๆ โดย

-
อำนวยความสะดวกให้ผู้ตรวจ โดยในการเขียนแต่ละย่อหน้าให้แสดงข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นเพียงหนึ่งอย่าง เพื่อให้ผู้ตรวจหาข้อเท็จจริงหรือคำตอบที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

-
เขียนให้เรียบร้อย สะอาดตาที่สุดเท่าที่จะทำได้

-
ใช้ปากกาสีดำหรือน้ำเงินเขียนข้อความ อย่าใช้ปากกาสีสดใสบาดตา เช่น แดง เขียว เราควรใช้สีสดๆ นี้ขีดเส้นหรือโยงลูกศรเท่านั้น

-
เว้นบรรทัดระหว่างคำตอบแต่ละข้อไว้มากๆ สำหรับเขียนเพิ่มทีหลัง จะได้ไม่ต้องเขียนต่อหน้าอื่น (แล้วบอกผู้ตรวจว่า กรุณาอ่านคำตอบข้อนี้ต่อที่หน้า 9) ซึ่งทำให้ผู้ตรวจเสียเวลาพลิกกระดาษคำตอบไปมา

-
ถ้ามีคำถาม 5 ข้อ แล้วให้เลือกทำ 4 ข้อ เมื่อทำทั้ง 4 ข้อเสร็จแล้ว ไม่ต้องขยันไปทำแถมให้อีกข้อ เอาเวลามาตรวจคำตอบทั้ง 4 ข้อ นั้นให้ถูกต้องครบถ้วนที่สุดจะดีกว่า

-
ใช้แผนภาพ แผนภูมิ หรือตารางประกอบ ถ้าลักษณะคำถามเปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้นได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำเสนอความคิดของเราและทำให้ผู้ตรวจเข้าใจได้ง่ายขึ้น

-
ถ้าทำข้อสุดท้ายไม่ทันจริงๆ ให้เขียนโครงร่างของคำตอบแบบคร่าวๆ ไม่ต้องอธิบายละเอียด เช่น การเตรียมตัวพูดต่อหน้าชุมชนจะต้องเตรียมด้านใดบ้าง จงอธิบายให้เข้าใจเราอาจตอบเฉพาะหัวข้อของคำตอบว่าวิธีเตรียมตัวในการพูดนั้นมีดังนี้
1.
กำหนดจุดมุ่งหมายของการพูด
2.
วิเคราะห์ผู้ฟัง
3.
กำหนดขอบเขตของเรื่องที่จะพูด
4.
รวบรวบเนื้อหาที่จะพูด
5.
ทำเค้าโครงลำดับเรื่องที่จะพูด
6.
เตรียมวิธีใช้ภาษา
7.
ซักซ้อมการพูดและอาจอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อต่างๆ เท่าที่มีเวลาเหลือ
 
จากหนังสือคู่มือ คนเก่งเรียนโดย ยุดา รักไทย
สำนักพิมพ์เอ็กซเปอร์เน็ท